เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NOAA) ออกมาเปิดเผยการคาดการณ์การเกิดพายุในช่วงฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติกประจำปี 2023
โดยระบุว่าในช่วงฤดูกาลนี้จะเกิดพายุ 14-21 ลูก โดยในจำนวนนี้อาจพัฒนากลายเป็นเฮอริเคนที่มีความเร็วลม 119 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือสูงกว่านี้ จำนวน 6-11 ลูก และอาจกลายเป็นเฮอริเคนขนาดใหญ่ที่มีความเร็วลมแรงกว่า 179 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจำนวน 2-5 ลูก ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ไต้ฝุ่น “ขนุน” ถล่มเกาหลีใต้ ยกเลิก 450 เที่ยวบินทั่วประเทศ คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
“ยางรถยนต์ไม่ต้องเติมลม” ประยุกต์จากนวัตกรรมด้านอวกาศของนาซา
“จาการ์ตา” ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก
ซึ่ง NOAA ระบุว่า ในช่วงฤดูกาลดังกล่าวจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนอาจเกิดพายุ 12-17 ลูก โดยเป็นเฮอริเคน 5-8 ลูก และมีเฮอริเคนขนาดใหญ่อีกประมาณ 1-4 ลูก
แมทธิว โรเซนแครนส์ นักพยากรณ์ฤดูกาลพายุเฮอริเคน NOAA กล่าวว่า "เราคาดการณ์ว่าในปีนี้อาจเกิดเฮอริเครน 6-11 ลูก ก่อนหน้านี้เราคาดการณ์ไว้ว่ามีประมาณ 5-9 ลูก เมื่อปีที่แล้วเกิดเฮอริเคน 8 ลูก และปีก่อนหน้านั้นเกิดเฮอริเคน 7 ลูก ปกติแล้วในฤดูกาลดังกล่าว"
ทั้งนี้ในช่วงฤดูกาลนี้ โดยเฉลี่ยมีพายุ 14 ลูก พายุเฮอริเคน 7 ลูก และพายุเฮอริเคนใหญ่ 3 ลูก แต่ว่าปีนี้แตกต่างออกไป เพราะสภาพอากาศแปรปรวน และอุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงขึ้น
ปัจจัยหลัก และปัจจัยขับเคลื่อนสองประการที่จะกำหนดความรุนแรงของฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติกคือ ปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งตรงนี้มีแนวโน้มที่จะยับยั้งการเคลื่อนตัวของพายุโซนร้อน และอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ NOAA พบว่า อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลในเดือนมิถุนายนและกรกฏาคมในภูมิภาคที่เกิดพายุโซนร้อนในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนืออบอุ่นเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่หน่วยงานดังกล่าวเริ่มบันทึกสถิติในปี 1950